บทที่ 9 ใส่ร้ายป้ายสี
ภาวินีทิ้งตัวลงไปกองกับพื้นด้วยท่าทางไร้เดียงสา เธอกุมข้อมือตัวเองไว้แน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอเบ้าประหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองเพ็ญนีติ์ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ทำไมคุณต้องผลักฉันด้วยคะ? ฉันก็แค่... แค่อยากจะคุยกับคุณไม่กี่คำเอง!"
ผู้คนรอบข้างต่างพากันมุงเข้ามาดูด้วยความสงสัยและเป็นห่วง เพ็ญนีติ์ยืนอึ้งไปชั่วขณะ ความโกรธแล่นพล่านขึ้นกลางอก เธอไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวภาวินีเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้ได้ยังไง?
"ฉันไม่ได้ผลักเธอนะ!" เพ็ญนีติ์รีบแก้ตัวทันควัน แต่ในใจกลับหัวเราะเยาะด้วยความสมเพช ละครฉากนี้ของภาวินีช่างต่ำตมและไร้ยางอายสิ้นดี
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเพ็ญนีติ์ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กดเปิดแอปพลิเคชันดูกล้องวงจรปิด เชื่อมต่อกับกล้องตรงทางเดินโรงพยาบาล และแน่นอนว่าภาพเหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน คลิปวิดีโอฟ้องชัดว่าภาวินีสะดุดขาตัวเองล้มลงไปเอง โดยที่ไม่มีใครแตะต้องตัวเธอแม้แต่ปลายเล็บ
"ดูซะ นี่คือหลักฐาน!" เพ็ญนีติ์ชูโทรศัพท์ในมือให้ภาวินีและมานิดาดูจากระยะไกล ภาพภาวินีล้มเองในวิดีโอนั้นชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายซ้ำ
ใบหน้าของภาวินีซีดเผือดลงในพริบตา ความน่าสงสารและความบริสุทธิ์ที่แสร้งทำเมื่อครู่พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
"ภาวินี เธอยังจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อีกไหม?" เพ็ญนีติ์เอ่ยถามเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
"ฉัน... คือฉัน..." ภาวินีอึกอักทำตัวไม่ถูก ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจ สุดท้ายเมื่อถูกสายตาคาดคั้นของคณเดชจ้องมองมา เธอจึงจำใจต้องก้มหน้ายอมรับความจริง "ฉันสะดุดล้มเองค่ะ ไม่เกี่ยวกับเขา"
คณเดชยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างๆ ความผิดหวังในตัวภาวินีทวีความรุนแรงขึ้นในใจ เขาเคยคิดเสมอว่าภาวินีเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี แต่การกระทำในวันนี้ทำให้เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ภาวินีโกรธจนกัดฟันกรอด ความอับอายทำให้เธออยากจะกู้หน้าคืนมาบ้าง เธอจึงแสยะยิ้มเย็นชาแล้วแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า "ถ้าเขาไม่หลบ ฉันก็คงไม่ล้มหรอก! เขาจงใจแกล้งฉันชัดๆ! ดูกำไลฉันสิ แตกหมดแล้ว นี่เป็นกำไลที่คุณย่าให้ฉันมานะ! เป็นสมบัติประจำตระกูลจันทังเชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา มันก็คงไม่แตกแบบนี้หรอก! คุณรดาคะ ฉันรู้นะว่าคุณโกรธพี่เดชเรื่องหย่า แต่คุณก็ไม่ควรมาลงที่ฉันแบบนี้ การที่พวกคุณแยกทางกัน มันเป็นความผิดของฉันเหรอคะ?"
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความประชดประชันและจงใจยั่วยุอารมณ์อย่างชัดเจน
เพ็ญนีติ์ชะงักไปเล็กน้อย ความโกรธพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง คำพูดของภาวินีเหมือนมีดแหลมที่กรีดลงกลางใจเธอ สีหน้าของคณเดชเองก็เคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของภาวินีเต็มทน
"ภาวินี คุณอย่าให้มันมากเกินไปนักนะ!" คณเดชอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากตำหนิ น้ำเสียงเจือไปด้วยความโกรธ
แต่เพ็ญนีติ์กลับหัวเราะออกมา ที่แท้คณเดชก็โกรธภาวินีเป็นเหมือนกันสินะ เธอนึกว่าเขาจะยอมลงให้แม่น้องสาวข้างบ้านคนนี้แบบไม่มีเงื่อนไขเสียอีก
เพ็ญนีติ์ไม่มีวันยอมให้ภาวินีมาสาดโคลนใส่เธอฝ่ายเดียว เธอก้มลงเก็บเศษกำไลที่แตกกระจายบนพื้นขึ้นมา ชูขึ้นส่องกับแสงแดด แล้วเบะปากด้วยความดูแคลน ก่อนจะยัดเศษขยะเหล่านั้นใส่มือของมานิดา แล้วเช็ดมือตัวเองกับเสื้อราวกับเพิ่งไปจับของสกปรกโสโครกมา
"คุณหมายความว่ายังไง?"
"ก็แค่อยากจะแนะนำว่า วันหลังจะซื้อเครื่องประดับ ช่วยเอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนนะ กำไลของปลอมเกรดต่ำแบบนี้ ใส่แล้วระวังสารเคมีจะกัดผิวเอา สุขภาพจะแย่เปล่าๆ"
เพ็ญนีติ์ยิ้มเยาะมุมปาก แล้วหันหลังเตรียมจะเดินจากไป
แต่แล้วเธอก็เดินย้อนกลับมา ตบไหล่ทาวัตที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เบาๆ แล้วพูดเตือนสติว่า "ทาวัต วันหลังอย่าลืมเตือนท่านประธานของคุณด้วยนะ ว่าจะซื้อเครื่องเพชรให้กิ๊กทั้งที ก็ช่วยซื้อของดีๆ หน่อย อย่าเอาของขยะมาให้ใส่ มันขายขี้หน้าเขา! ส่วนเครื่องเพชรของฉันที่ยังพอมีราคาอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่บ้านตระกูลศิริบูรณ์ ฉันขอยกให้นายหญิงคนใหม่ไปเลยก็แล้วกัน จำไว้ด้วยล่ะ?"
"รับทราบครับ นายหญิง!" ทาวัตตอบรับออกไปตามสัญชาตญาณ พอรู้ตัวก็รีบตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ในใจนึกด่าตัวเองว่าปากไวเกินไปแล้ว จะโดนไล่ออกไหมเนี่ย!
คราวนี้ภาวินีโกรธจนแทบคลั่ง ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองแผ่นหลังของเพ็ญนีติ์และทาวัตที่เดินจากไป ในใจอาฆาตแค้นอย่างหนัก "รดา ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันฉันจะจัดการแกให้สาสม!"
เพ็ญนีติ์ไม่สนหรอกว่าใครจะโกรธแค่ไหน ตอนนี้เธอได้ระบายอารมณ์แล้ว จึงเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยจิตใจที่สงบลง แถมพอนึกถึงหน้าตาที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธของภาวินีเมื่อกี้ เธอก็เกือบจะหลุดขำออกมา
เพ็ญนีติ์ก้าวเท้าฉับๆ ออกจากตัวอาคาร แต่หูพลันได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบตามมาจาด้านหลัง
"รดา เดี๋ยว!" คณเดชวิ่งตามออกมาจากตึก น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความร้อนรน
ความสงสัยในตัวเพ็ญนีติ์ถาโถมเข้ามาในใจของคณเดชราวกับคลื่นยักษ์ เขาอยากจะถามเธอให้รู้เรื่อง อยากรู้ว่าทำไมเธอต้องปิดบังตัวตน และแท้จริงแล้วเธอคือใครกันแน่
เพ็ญนีติ์ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เธอกำกุญแจรถในมือแน่น พยายามข่มใจให้สงบ เธอทิ้งตัวลงนั่งในรถสปอร์ตหรูคันงามที่เพิ่งถอยมาได้ไม่นาน ตัวถังรถทรงปราดเปรียวสะท้อนแสงแดดเป็นประกายวาววับ เธอสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงคำรามกระหึ่มของเครื่องยนต์ทำลายความเงียบรอบข้าง และช่วยกลบเกลื่อนความว้าวุ่นในใจของเธอไปได้บ้าง
แต่คณเดชกลับยิ่งร้อนใจ เมื่อเห็นท่าทีของเธอ เขาก็รีบเร่งฝีเท้าหมายจะคว้าตัวเธอไว้ แต่ทันใดนั้น เพ็ญนีติ์ก็เหยียบคันเร่งมิด รถสปอร์ตพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดจากคันศร ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันที่ตลบอบอวล
"รดา!" คณเดชร้องเรียกด้วยความร้อนรน ก่อนจะหันไปสั่งทาวัตทันที "เอารถออก!"
ทิวทัศน์สองข้างทางถอยหลังไปอย่างรวดเร็วเมื่อรถทั้งสองคันเริ่มไล่กวดกัน ทาวัตกัดฟันแน่น สายตาจดจ้องไปที่รถสปอร์ตคันหน้าอย่างไม่วางตา เขาเหยียบคันเร่งจนสุดแรงเกิด เสียงล้อรถบดเบียดกับพื้นถนนดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับจะประกาศสงครามกับท้องถนน
เพ็ญนีติ์เหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นรถของคณเดชไล่ตามมาติดๆ ความรู้สึกซับซ้อนก่อตัวขึ้นในใจ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความรำคาญ เธอรู้ว่าการหนีไม่ใช่ทางออก แต่เธอแค่ไม่อยากคุยกับคณเดช และไม่อยากบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้เขารู้
จะให้เพ็ญนีติ์บอกคณเดชเหรอว่า... เมื่อสิบสามปีก่อน ในค่ำคืนที่มืดมิดและพายุฝนกระหน่ำ เด็กหญิงเพ็ญนีติ์ในวัยสิบเอ็ดปี ได้จดจำดวงตาที่สุกสกาวดั่งดวงดาวคู่นั้นของคณเดชไว้แม่นยำเพียงใด?
จะให้เพ็ญนีติ์บอกคณเดชเหรอว่า... เขาเคยช่วยชีวิตเธอไว้ ถ้าไม่มีเขาในวันนั้น ก็คงไม่มีเพ็ญนีติ์ในวันนี้?
เรื่องพวกนี้... เพ็ญนีติ์จะไม่มีวันปริปากบอกเด็ดขาด
ผู้ชายก็เหมือนกันหมด สันดานเสีย... พอเราวิ่งตามเอาใจใส่ดูแล ก็ทำหน้าตาเบื่อหน่ายรังเกียจ แต่พอเราเมินใส่ ทำเหมือนเขาเป็นแค่อากาศธาตุ กลับวิ่งแจ้นตามตื๊ออย่างกับคนบ้า
เพ็ญนีติ์แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ พลางเหลือบมองกระจกหลังอีกครั้ง
ทำไมถึงยังตามรังควานไม่เลิกนะ?
คณเดชนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ ใจร้อนรุ่มดั่งไฟเผา มือเผลอกำที่จับประตูแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาหันไปมองทาวัตแล้วสั่งเสียงเข้ม "ขับเร็วๆ สิ! ตามให้ทัน!"
แต่น่าเสียดายที่ความเร็วรถของเพ็ญนีติ์นั้นเหนือชั้นกว่ามาก ราวกับม้าป่าที่หลุดจากบังเหียน เพียงชั่วพริบตาก็เลี้ยวหายลับไปตรงหัวมุมถนน ทิ้งให้ทาวัตได้แต่นั่งหน้าเครียด
"ผมเหยียบมิดไมล์แล้วครับแต่มันตามไม่ทันจริงๆ!" ทาวัตส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ถึงฝีมือขับรถเขาจะดีแค่ไหน แต่สมรรถนะของรถสปอร์ตคันนั้นมันคนละชั้นกับรถที่เขากำลังขับอยู่
"ตามต่อไป!" สายตาของคณเดชยังคงจับจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ
ทาวัตสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกระแทกคันเร่งอีกครั้ง พารถพุ่งทะยานฝ่าความมืดของค่ำคืนไปข้างหน้า พยายามไล่ตามเงาของเพ็ญนีติ์ให้ทัน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ระยะห่างก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลย
ในชั่วพริบตา รถสปอร์ตของเพ็ญนีติ์ก็หายวับไปในความมืด เลี้ยวเข้าสู่ตรอกเล็กๆ ที่เปลี่ยวร้าง ทิ้งให้ความกังวลและความโกรธเกรี้ยวในใจของคณเดชปะทุขึ้นถึงขีดสุด เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่รถของเธอหายไป ไฟแค้นแห่งความไม่ยอมแพ้ลุกโชนขึ้นในดวงตา
"ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะหนีฉันพ้น!" เขาตะโกนลั่นรถด้วยความเจ็บใจและไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมแพ้แค่นี้ เขาจะต้องตามหาเพ็ญนีติ์ให้เจอ และกระชากหน้ากากเปิดเผยความลับของเธอออกมาให้ได้
